tag:blogger.com,1999:blog-65982728548126556482024-03-06T10:07:01.878+07:00โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต สาระความรู้ด้านการแพทย์เพื่อสุขภาพดีโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ตั้งมั่นในการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ทุกท่านด้วยความห่วงใย ติดตามอ่านสาระด้านสุขภาพและการแพทย์ได้ที่นี่ โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตพร้อมให้บริการสาระด้านสุขภาพตั้งแต่การปฐมพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน การดูแลและป้องกันตนเองจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวกับกระดูก โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทสมอง การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การดูแลสุขภาพเพศชาย การดูแลรักษาสุขภาพฟัน การดูแลผิวพรรณ และ อื่น ๆBangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.comBlogger45125tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-64396551755295271312010-07-13T16:29:00.002+07:002010-08-04T10:05:34.362+07:00การตรวจเต้านมด้วยตนเอง<span style="font-weight:bold;">ตรวจเต้านมด้วยตนเองนั้นสำคัญยิ่งจริงหรือ </span><br />การตรวจเต้านมด้วยตนเองนั้นสำคัญยิ่งสำหรับเพศหญิงไม่ว่าจะเป็นหญิงสาว หญิงสวย หญิงเก่ง หญิงงาม หรือ หญิงอาวุโส เพราะการตรวจพบความผิดปกติของเต้านมได้เร็วเท่าไหร่การรักษาย่อมจะได้ผลดีมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อเกิดเป็นหญิงแล้วจะต้องฝึกคลำเต้านมตนเองให้เป็น แล้วอย่าลืมคลำเต้านมตนเองเดือนละ 1 ครั้ง เมื่อคลำไปหลาย ๆ ครั้งเข้าก็จะคุ้นเคยกับความยืดหยุ่นของเต้านมปกติ เมื่อใดที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ <br /><br /><span style="font-weight:bold;">คลำเต้านมเมื่อไหร่ดี</span><br />เวลาที่เหมาะสมสำหรับการคลำเต้านมด้วยตนเองคือประมาณ 7 วันหลังมีประจำเดือน เพราะว่าในระยะนั้นเต้านมจะไม่ค่อยตึง และเวลาคลำก็ไม่ค่อยเจ็บ หรืออาจจะกำหนดวันคลำเต้านมของแต่ละเดือนไว้ให้แน่นอน สำหรับผู้ที่ประจำเดือนรวนเรมาไม่แน่นอน เช่น คลำทุกวันที่ 1 ของเดือน เพื่อกันลืม <br /><br /><span style="font-weight:bold;">เต้านมเปลี่ยนไปหรือเปล่า</span><br />1. การเปลี่ยนแปลงของขนาด<br />2. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น บุ๋มลงไป ดึงรั้ง ผิวหนังเปลี่ยนสี<br />3. มีของเหลวผิดปกติไหลออกจากหัวนม<br /><br /><span style="font-weight:bold;">วิธีการตรวจเต้านมด้วยตนเอง</span><br />1. นอนหงาย แล้วนำหมอนมาหนุนใต้ไหล่ขาวสำหรับการตรวจข้างขาว<br />2. ใช้น้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของมือซ้ายกดลงไปทั่วบริเวณเต้านม โดยอาจจะใช้การคลำเป็นวงกลมรอบ ๆ หัวนมและค่อย ๆ ขยับออกไปทางด้านนอก<br />3. คลำเต้านมเช่นนี้ให้ครบทั้งซ้ายขวา<br /><br /><span style="font-weight:bold;">ห่วงใยและแบ่งปัน โดย <a href="http://www.PhuketHospital.com">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</a></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-13238831988681076572010-05-18T12:50:00.002+07:002010-05-18T12:53:34.572+07:00ไวรัสตับอักเสบบีร้อนตับแตกยังไม่น่ากลัวเท่ากับตับแข็ง หลายคนคงเคยได้ยินข่าวการเสียชีวิตของคนโน้น คนนี้ด้วยโรคตับแข็งบ้าง ท้องมานบ้าง ใครจะรู้บ้างว่าไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี เป็นที่มาของมะเร็งตับตับแข็ง ตับวาย ท้องมาน รู้แล้วจะหายร้อนตับแตกกลายเป็นหนาวสะท้าน<br /><br /><strong>โรคตับอักเสบ</strong> คือ โรคที่เซลล์ตับถูกทำลายโดยเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย สารพิษ ยาบางชนิด หรือ เหล้า ที่พบมาก ๆ ในประเทศไทยคือ โรคตับอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ตับอักเสบชนิดเอ ชนิดบี ชนิดซี ชนิดดี ชนิดอี และเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อตับอักเสบบีกันมากมายนั้นเป็นเพราะว่าในระยะยาวตับอักเสบบีจะมีผลรุนแรงกว่าตับอักเสบชนิดอื่น เชื่อหรือไม่ว่า 80 % ของผู้ป่วยมะเร็งตับนั้นเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และขณะเดียวกันผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบีก็มีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับถึง 100 เท่า และที่น่าเป็นห่วงคือ 6 % ของประชากรไทยเป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี <br /><br /><strong>ใครเป็นพาหะของโรคตับอักเสบบี </strong> ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีก็จะกลายเป็นผู้ป่วยโรคตับอักเสบบี หลังจากหายแล้วผู้ป่วยบางรายจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น และประมาณ 10 – 20 % ของผู้ป่วยจะมีเชื้อไวรัสในเลือดและตับ โดยอาจจะมีอาการตับอักเสบเรื้อรังหรือไม่มีอาการก็ได้ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นบุคคลอันตราย เพราะเขาคือพาหะของโรคตับอักเสบบี ขณะที่พาหะก็มีโอกาสจะกลับมาเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าพาหะโรคตับอักเสบบีเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับมากกว่าคนอื่นถึง 100 เท่า<br /><br /><strong>อาการของโรคตับอักเสบ</strong> ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง เบื่ออาหาร สังเกตดี ๆ อาการนี้จะแตกต่างจากคนหมดพลังเบื่องานเพราะขี้เกียจ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย และยังมีไข้ต่ำ ๆ ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม ที่เราเรียกกันว่าเป็นดีซ่าน อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะต้องพักผ่อนต่อไปอีกประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ จึงจะสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้<br /><br /><strong>การติดต่อ</strong> ไวรัสตับเสบบี ติดต่อได้ง่าย ๆ ผ่านการสัมผัสเลือด น้ำคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะ เช่น<br />1. การรับการถ่ายเลือด หรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีไวรัสอยู่<br />2. การใช้เข็มฉีดยาที่มีเชื้อปนเปื้อน การเจาะหู การสัก การทำฟัน ด้วยเครื่องมือที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง<br />3. การใช้ของใช้ส่วนตัวบางอย่างร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะของใช้ที่มีโอกาสปนเปื้อนเลือ เช่น แปรงสีฟัน ใบมีดโกน ที่ตัดเล็บ<br />4. การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยโรคนี้หรือผู้เป็นพาหะโรคนี้โดยไม่มีการป้องกัน<br />5. การจับต้อง สัมผัสกับเลือด น้ำคัดหลั่ง ของผู้ป่วยโรคนี้หรือผู้เป็นพาหะโรค ทำให้เชื้อผ่านเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลโดยไม่รู้ตัว เช่น การกัดกันเล่น ๆ ของเด็ก ๆ <br />6. การรับเชื้อจากแม่ขณะอยู่ในครรภ์ หรือระหว่างคลอด<br /><br /><strong>การป้องกัน </strong> มีวิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบบีที่มีประสิทธิภาพคือการฉีดวัคซีน และเด็กที่เกิดในเมืองไทยนับตั้งแต่ปี พศ.2535 จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีทุกคน <br /><br /><strong>อายุมากแล้วจะฉีดวัคซีนได้ไหม</strong> อายุไม่ใช่ปัญหา วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีสามารถฉีดได้กับคนทุกวัย แต่ควรจะรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมรับการตรวจเลือดดูว่ามีภูมิอยู่แล้ว หรือมีเชื้ออยู่ก่อนหรือไม่<br /><br /><strong>กำหนดการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี </strong> มีกำหนด 3 ครั้ง ครั้งที่สองฉีดหลังจากครั้งที่หนึ่ง 1 เดือน และครั้งสุดท้ายฉีดหลังจากครั้งที่สอง 5 เดือน<br /><br />ห่วงใยและแบ่งปันโดย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตBangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-18321391632035533172010-02-25T13:36:00.003+07:002010-02-25T13:45:37.854+07:00โรคกรดไหลย้อน (โรคเกิร์ด)<strong>โรคกรดไหลย้อน </strong> คือ ภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีฤทธิ์เป็นกรด (ประกอบด้วย กรดเกลือ หรือกรดไฮโดรคลอลิค) ไหลย้อนขึ้นไประคายต่อหลอดอาหาร และบริเวณลำคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแสบลิ้นปี่ คล้ายเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง พบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี<br /><br /><strong>สาเหตุ</strong><br />เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนล่างของหลอดอาหาร ในคนปกติหูรูดนี้จะคลายตัวขณะกลืนอาหาร เพื่อเปิดทางให้อาหารไหลผ่านลงไปในกระเพาะ เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะจนหมดแล้ว หูรูดนี้จะหดรัดตัวเพื่อปิดกั้นไม่ให้น้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร <br /><br />แต่ในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน จะพบว่ากล้ามเนื้อหูรูดจะหย่อนสมรรถภาพ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการผิดปกติ และการอักเสบของเยื่อบุหลอดอาหารได้<br /><br />ส่วนสาเหตุที่ทำให้หูรูดดังกล่าวทำงานผิดปกตินั้นยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากความเสื่อมตามอายุ (มักพบในรายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญไม่เต็มที่ (พบในทารก) หรือมีความผิดปกติมาแต่กำเนิด <br /><br /><strong>ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดโรคกรดไหลย้อน</strong><br />- การกินอิ่มมากเกินไป ซึ่งกระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก และมีการขยายตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้หูรูดคลายตัวมากขึ้น<br />- การนอนราบ โดยเฉพาะภายใน 2 ชั่วโมงหลังกินอาหาร การนั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ ทำให้น้ำย่อยไหลย้อนได้ง่ายขึ้น<br />- การรัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงเอวคับ จะเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร ทำให้น้ำย่อยไหลย้อน<br />- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน นอกจากจะกระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย<br />- การกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด อาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้มีโอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น<br />- การสูบบุหรี่ การกินอาหารเผ็ดจัด น้ำอัดลม น้ำผลไม้เปรี้ยว เป็นต้น จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งมากขึ้น<br /><br /><strong>อาการ</strong><br />ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่ หรือยอดอกหลังกินอาหาร 30-60 นาที หรือหลังกินอาหารแล้วล้มตัวนอนราบ นั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ หรือใส่กางเกวเอวคับ มักมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และจะมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง บางรายอาจมีอาการปวดแสบร้าวจากยอดอกไปถึงคอหอย (คล้ายอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจวาย) หรือมีอาการจุกแน่นยอดอก (คล้ายอาหารไม่ย่อย) อาจมีอาการคลื่นไส้ เรอบ่อย มีก้อนจุกที่คอหอย บางรายอาจมีอาการขย้อน หรือเรอเปรี้ยวขึ้นไปที่คอหอย หรือรู้สึกมีรสขมของน้ำดีหรือรสเปรี้ยวของกรดในปากหรือคอ หรือหายใจมีกลิ่น <br /><br />ในบางรายอาจไม่มีอาการแสบท้อง หรือเรอเปรี้ยว แต่มีอาการไอแห้ง โดยเฉพาะหลังกินอาหาร หรือนอนอยู่ในท่าราบ หรืออาจรู้สึกขมคอ เปรี้ยวปาก เสียงแหบ เจ็บคอ แสบลิ้นตอนตื่นนอน เนื่องจากมีการไหลย้อนของน้ำย่อยไประคายที่คอหอย กล่องเสียง และหลอดลมตอนกลางคืน<br /><br /><strong>การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อน</strong><br />- กินยาให้ครบและต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์<br />- ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรลดน้ำหนัก<br />- ให้สังเกตว่าสิ่งใดทำให้อาการกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยง เช่น อาหารมัน ของทอด อาหารเผ็ดจัด เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน ผลไม้และน้ำผลไม้เปรี้ยว ช็อคโกแลต ยาบางชนิด เป็นต้น<br />- หลีกเลี่ยงการกินอาหารปริมาณมาก และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากๆ ระหว่างกินอาหาร ควรกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณน้อย และทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง<br />- หลังกินอาหารควรปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงให้หลวม ไม่ควรนอนราบ หรือนั่งงอตัวโค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งตัวตรง หรือให้รู้สึกสบายท้อง หลีกเลี่ยงการยกของหนักและการออกกำลังกายหลังทานอาหารใหม่ๆ<br />- หมั่นออกกำลังกายและผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดมีผลทำให้หลั่งกรดมากขึ้น และอาจทำให้อาการกำเริบขึ้นได้<br /><br /><strong>ภาวะแทรกซ้อน</strong><br />หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนานๆ บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ ที่พบได้บ่อย คือ หลอดอาหารอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกเวลากลืนอาหาร อาจมีอาการเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ในที่สุดอาจเกิดภาวะหลอดอาหารตีบ กลืนอาหารลำบาก อาเจียนบ่อย อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือถ่างหลอดอาหารเป็นครั้งคราว ถ้าเป็นมากอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด<br /><br />โรคนี้สามารถรักษาให้หายหรือช่วยบรรเทาให้อาการทุเลาได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ และต่อเนื่อง รวมทั้งการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของตัวผู้ป่วยเอง ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นหรือหายไปได้ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นโรคไปเรื่อยๆ ไม่กินยา และไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็มักจะเป็นรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้<br /><br />สนใจรับคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ info@PhuketHospital.com<br /><a href="http://www.phukethospital.com">www.PhuketHospital.com</a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-15773410557014298962009-10-16T10:47:00.002+07:002010-02-25T13:47:51.343+07:00มาล้างมือให้ถูกวิธีกันเถอะ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRaTPVb5pEojJpCNKaTWzyK35gAL7I42NIoH4mPH_C_-6R5H7dIZJUbgPfAJ29udVeNWjfq-U7KNMs8YHbcyyNCnLk9UGbPVsKSQxuDo7ACdn6sm9qPXXjRSgMND8_QQRFuBiO24k4so0/s1600-h/HandWashing.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRaTPVb5pEojJpCNKaTWzyK35gAL7I42NIoH4mPH_C_-6R5H7dIZJUbgPfAJ29udVeNWjfq-U7KNMs8YHbcyyNCnLk9UGbPVsKSQxuDo7ACdn6sm9qPXXjRSgMND8_QQRFuBiO24k4so0/s320/HandWashing.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5393040206598507298" /></a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-73201118051494162792009-10-06T17:44:00.002+07:002009-10-06T17:52:25.906+07:00โรคตาแดง<span style="font-family:verdana;"><strong>โรคตาแดง
<br /></strong>เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตา จากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มอาดิโนไวรัส เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้ง่าย ติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัสน้ำตาของผู้ป่วยที่มากับนิ้วมือ และแพร่จากนิ้วมือมาติดที่ตาโดยตรง</span>
<br /><span style="font-family:verdana;">
<br /><strong>อาการของโรคตาแดง
<br /></strong>หลังจากได้รับเชื้อจะเกิดอาการ ตาแดง เคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา อาจมีขี้ตามากจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ต่อมน้ำเหลืองหลังหูมักเจ็บและบวม ส่วนมากเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วจะติดต่อมายังตาอีกข้างได้ ควรระมัดระวังไม่ให้ตาข้างที่ดีติดเชื้อตาแดง แต่ส่วนใหญ่มักเป็นอีกข้างอย่างรวดเร็ว และอาจมีอาการไข้เล็กน้อย หรือรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ประมาณ 10 -14 วัน โดยผู้ป่วยสามารถกระจายเชื้อได้ 10 -14 วัน เช่นกัน
<br />
<br /><strong>โรคแทรกซ้อน</strong>
<br />มีอาการเคืองมาก ลืมตาไม่ค่อยได้ มักมีอาการกระจกตาอักเสบแทรกซ้อน ซึ่งจะดีขึ้นได้ประมาณ 3 สัปดาห์หรือบางรายเป็น 1-2 เดือน ทำให้ตามัวพร่าอยู่เป็นเวลานาน
<br />
<br /><strong>การรักษา
<br /></strong>รักษาตามลักษณะของอาการ เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัส และยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสนี้โดยตรง การหยอดยาปฏิชีวนะสามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจแทรกซ้อนได้ ใช้ยาแก้อักเสบร่วมด้วยกับยาลดไข้ ลดปวด ถ้ามีอาการไข้หรือมีการอักเสบที่รุนแรง การประคบเย็นสามารถบรรเทาอาการปวดบวมได้ พยายามรักษาสุขภาพ พักผ่อนมากๆ งดการใช้สายตาในช่วงที่มีอาการตาแดงอย่างรุนแรง ควรนอนให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องปิดตาไว้ตลอด ไม่ควรให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย ควรงดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกันทุกครั้งที่จับตา ควรล้างมือให้สะอาด ผู้ป่วยไม่ควรลงเล่นน้ำในสระเพราะจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปในน้ำได้
<br />
<br /><strong>การป้องกัน</strong>
<br />สำหรับผู้ที่อยู่ร่วมกับผู้ป่วย ควรระวังอย่าเอามือไปจับหรือขยี้ตา ควรล้างมือ ฟอกสบู่บ่อยๆ ไม่ควรใช้ยาหยอดตาหรืออุปกรณ์ที่สัมผัสกับตาร่วมกับผู้อื่น
<br />
<br />แบ่งปันสาระดี ๆ โดย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต <a href="http://www.phukethospital.com/">www.PhuketHospital.com</a>
<br />ปรึกษาปัญหาสุขภาพติดต่อ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a>
<br /></span>
<br /></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-19322927499589109662009-10-02T10:37:00.001+07:002010-02-25T13:46:55.949+07:00สวย...สดใส...ได้ด้วย...ผักและผลไม้<span style="font-family:verdana;">เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด อุดมด้วยสารที่เป็นประโยชน์แก่ผู้หญิงทุกวัย<br /><br /><strong>ลูกพรุน<br /></strong>อุดมด้วยโปรแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญ รวมถึงยังมีธาตุเหล็กและมีวิตามินซีทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ช่วยดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย<br /><br /><strong>ถั่ว<br /></strong>ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก<br /><br /><strong>บรอคโคลี่<br /></strong>บรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ซีลีเนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว และยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย<br /><br /><strong>แอปเปิ้ล</strong><br />มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย<br /><br /><strong>กล้วยไข่</strong><br />กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม<br /><br /><strong>ฝรั่ง</strong><br />มีวิตามินซีสูง วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัย<br /><br /><strong>ส้ม</strong><br />แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก<br /><br />แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใย “ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ” โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต<br /></span><a href="http://www.phukethospital.com/"><span style="font-family:verdana;">www.PhuketHospital.com</span></a><br /><span style="font-family:verdana;"><br />สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ </span><a href="mailto:info@PhuketHospital.com"><span style="font-family:verdana;">info@PhuketHospital.com</span></a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-50747969933033480252009-08-21T17:22:00.002+07:002009-08-21T17:28:51.878+07:00โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1Mkng-l0bHcI8JYUI3rZGRRZXdC6lWriWQxshdUlUtby_omKslQ6Z94J8_QdyF1NfONG-vzdM3ZnkDGln3Tg8k7Q3bYbdqauw9brd5N6G_SXVSlonClACMyqgFNMoJu1DW_AAO-7cRYM/s1600-h/LogoJCI.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372361569786626402" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 74px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1Mkng-l0bHcI8JYUI3rZGRRZXdC6lWriWQxshdUlUtby_omKslQ6Z94J8_QdyF1NfONG-vzdM3ZnkDGln3Tg8k7Q3bYbdqauw9brd5N6G_SXVSlonClACMyqgFNMoJu1DW_AAO-7cRYM/s320/LogoJCI.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#000099;">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตขอแจ้งข่าวของการพัฒนาระบบคุณภาพของโรงพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นข่าวดีสำหรับทุกท่าน คือ โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตได้ผ่านการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาลในระดับสากล คือ มาตรฐาน JCIA ของสหรัฐอเมริกา<br /><br /><strong>โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตเป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวในภูมิภาคที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์ในระดับโลก</strong> แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโรงพยาบาลในต่างจังหวัดที่จะสามารถเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนในท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว การได้รับการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาลในระดับโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวทั้งด้าน Medical Tourism และ สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวในการมาเยือนภูเก็ต<br /><br /><strong>JCIA คืออะไร</strong> <strong>ใครได้ประโยชน์จาก JCIA</strong> คำตอบคือ JCIA เป็นระบบมาตรฐานของโรงพยาบาลโดยเฉพาะ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นที่รู้จักและยอมรับกันทั่วโลกว่า เป็นระบบมาตรฐานที่เข้มงวดและมุ่งเน้นถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ทั้งด้านการรักษาพยาบาลและการดูแลความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จาก JCIA ก็คือผู้ป่วยนั่นเอง<br /><br />โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของคุณภาพการรักษาพยาบาลได้ด้วยความมุ่งมั่นของผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ตระหนังถึงความสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์อย่างถูกต้อง แม่นยำ โดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง<br /><br /><strong>JCIA</strong> เป็นมาตรฐานที่มีระบการวัด ติดตามและตรวจสอบ การปฏิบัติงานของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกแผนก ทุกระดับ จะต้องเป็นไปตามกระบวนการทำงานที่กำหนดไว้ทุกขั้นตอน เช่น กระบวนการลงทะเบียนผู้ป่วย สิทธิผู้ป่วย กระบวนการดูแลรักษา กระบวนการประเมินก่อนกลับบ้าน เป็นต้น<br /><br /><strong>โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCIA, 3rd Edition และเป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวในภูมิภาค ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานนี้</strong> ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาล่าสุดซึ่งได้ครอบคลุมถึงป้องกันอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล เหมือนกับการมีตะแกรงที่ถี่มากขึ้นในการร่อนอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ออกไป<br /><br /><strong>JCIA</strong> คือ มาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์ระดับโลกที่จับต้องได้ และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย</span> </span></div>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-9700186043158303992009-07-21T09:46:00.003+07:002009-07-21T11:56:28.460+07:00ชิคุนกุนยา : โรคร้ายที่มาพร้อมกับยุงลาย<span style="font-family:verdana;">เมื่อเร็วๆ นี้เราคงได้ยินข่าวว่าเกิดการแพร่ระบาดของ "โรคชิคุนกุนยา" ในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้คนแปลกใจไม่น้อยว่า นี่คือโรคสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ วันนี้โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตอาสาคลายข้อสงสัย ด้วยการนำความรู้เกี่ยวกับ "โรคชิคุนกุนยา" มาบอกต่อกันค่ะ<br /><br /><strong>สาเหตุของโรค<br /></strong>โรคชิคุนกุนยา หรือ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบการระบาดมากในฤดูฝนที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะกับการเพาะพันธุ์ของยุงลาย</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>การติดต่อของโรคชิคุนกุนยา<br /></strong>การติดต่อของโรคชิคุนกุนยาเกิดขึ้นเมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสนั้นจะไปเพิ่มจำนวนมากขึ้นในตัวยุง และเมื่อยุงนั้นไปกัดคนอื่นต่อ ก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคชิคุนกุนยาได้<br /><br />ทั้งนี้โรคชิคุนกุนยามีระยะฟักตัว 1-12 วัน แต่ช่วง 2-3 วันจะพบบ่อยที่สุด ส่วนในช่วงวันที่ 2-4 จะเป็นช่วงที่มีไข้สูง มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก และสามารถติดต่อกันได้หากมียุงลายมากัดผู้ป่วยในช่วงนี้ และนำเชื้อไปแพร่ยังผู้อื่นต่อ<br /><br /><strong>อาการของโรคชิคุนกุนยา</strong><br />ผู้ที่เป็นโรคชิคุนกุนยาจะมีไข้สูงอย่างฉับพลัน ร่วมกับอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ ปวดกระบอกตา หรือมีเลือดออกตามผิวหนัง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งดูเผินๆ คล้ายกับโรคไข้เลือดออก หรือหัดเยอรมัน แต่จะไม่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก<br /><br /><em>โรคชิคุนกุนยาสามารถเป็นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรงกว่า คือมักจะมีอาการปวดข้อทั้งข้อมือ ข้อเท้า และเป็นข้ออักเสบตามมาด้วย ซึ่งมักจะเปลี่ยนตำแหน่งที่ปวดไปเรื่อยๆ บางครั้งมีอาการรุนแรงมากจนขยับข้อไม่ได้ แต่จะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ หรือบางคนอาจจะปวดเรื้อรังอยู่เป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้</em></span><br /><em><span style="font-family:Verdana;"></span></em><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>การป้องกันและการรักษา<br /></strong>ยังไม่มีวัคซีนสำหรับการรักษาและป้องกันโรคชิคุนกุนยา ดังนั้นการรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น หากเป็นไข้ก็ให้ยาลดไข้ หรือหากปวดข้อก็ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อบรรเทาอาการ การป้องกันตนเองก่อนเกิดโรคจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด<br />1. ควรนอนในมุ้งหรือห้องนอนที่มีมุ้งลวดเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด<br />2. หากมีไข้ควรกินยาลดไข้ ห้ามกินยาจำพวกแอสไพรินเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ง่าย<br />3. ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยสวมเสื้อกางเกง ขายาวเวลาเข้าสวน หรือทายากันยุง เช่น ตะไคร้หอม<br />4. หากมีไข้สูง ปวด หรือบวมตามข้อเฉียบพลัน และมีผื่นแดงตามร่างกายร่วมกัน ให้สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที<br />5. กำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายอย่างต่อเนื่องอันเป็นตัวพาหะนำโรค หมั่นตรวจดูแหล่งน้ำภายในบ้าน เช่น บ่อ กะละมัง ชาม โอ่งน้ำ ตุ่ม รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาฉีดพ่นหมอกควันตามอาคารบ้านเรือนที่มีแหล่งน้ำขังอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลาย<br /><br />ด้วยวิธีการง่ายๆ เหล่านี้ จะสามารถช่วยเราให้ป้องกันโรคได้ถึง 2 โรค คือ "ชิคุนกุนยา" และ "ไข้เลือดออก"</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;">จะเห็นว่าแม้โรคชิคุนกุนยาจะไม่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้คนป่วยได้รับความทุกข์ทรมาน และความรำคาญใจจากอาการปวดได้ ดังนั้นเราจึงควรป้องกัน และเตรียมพร้อมรับมือกับโรคชิคุนกุนยาไว้ก่อนจะดีที่สุดค่ะ<br /><br />แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใย โดย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต<br /><a href="http://www.phukethospital.com/">http://www.phukethospital.com/</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-70702165989468588512009-06-22T16:29:00.000+07:002009-06-22T16:29:16.846+07:00โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต สาระความรู้ด้านการแพทย์เพื่อสุขภาพดี: โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009<a href="http://bpkhospital.blogspot.com/2009/04/2009.html">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต สาระความรู้ด้านการแพทย์เพื่อสุขภาพดี: โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009</a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-29515951330371109552009-06-16T11:41:00.002+07:002009-06-16T11:58:23.552+07:00การแก้ไขปัญหาสายตาสั้น / ยาว / เอียง ด้วยการทำเลสิก<span style="color:#333399;"><strong>การทำเลสิก (LASIK : Lasik in-Situ Keratomileusis)</strong> ใช้เครื่องมือที่สำคัญ 2 ชนิดร่วมกันในการทำการรักษา คือ<br />- เครื่องแยกชั้นกระจกตา (Microkeratome)<br />- เครื่องเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ทำหน้าที่ในการปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตา ให้ได้ความโค้งที่เหมาะสมกับความยาวของลูกตา เพื่อให้การรวมแสงตกลงที่จุดรับภาพพอดี ทำให้สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจน</span><br /><span style="color:#333399;"></span><br /><strong><span style="color:#3366ff;">ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 </span></strong><br /><strong><span style="color:#3366ff;">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตเสนอแพคเกจการรักษาปัญหาสายตาด้วยเลสิก ราคา 49,900 บาท</span></strong><br /><strong><span style="color:#333399;"><span style="color:#3366ff;">สอบถามรายละเอียดที่</span> <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a> </span></strong><br /><span style="color:#333399;"></span><br /><span style="color:#333399;"><strong>LASIK </strong> คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติที่กระจกตา ซึ่งทางศูนย์เลสิก โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต พร้อมให้บริการด้วยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติโดยตรง ด้วยเครื่องเอ็กไซเมอร์เลเซอร์รุ่นล่าสุดจากบริษัท Nidek ประเทศญี่ปุ่น (EC-5000 CX III : Wavefront & Non-wavefront System) ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FAD) <br /><br /><strong>เครื่องรุ่นนี้ให้ความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด</strong> มีการแก้ไขหลายข้อบกพร่องของเครื่องรุ่นก่อน เช่น การปรับปรุงโปรแกรมเพื่อแก้ไขผลข้างเคียงของเลสิก เช่น การกระจายแสงในตอนกลางคืน (Night Blurred Vision) ให้น้อยลง, เพิ่มคุณภาพการมองเห็นในเวลากลางคืน, ลำแสงเลเซอร์ที่มีขนาดละเอียดขึ้นทำให้ความแม่นยำสูงขึ้น, ประหยัดเนื้อกระจกตาขึ้น, มีตัวจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของตาเพื่อตามยิงเลเซอร์ (Eye Location Movement), มีโปรแกรมการแก้ไขสายตาเอียงได้แม่นยำมากขึ้น(TED) จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด</span><br /><span style="color:#333399;"></span><br /><span style="color:#333399;"><strong>กระบวนการรักษา 3 ขั้นตอน</strong> มีดังนี้<br />ก่อนรับการตรวจตาและ การผ่าตัด ควรจะถอดคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มอย่างน้อย 3 วัน (อย่างแข็ง 7 วัน) เพื่อให้กระจกตากลับคืนรูปปกติ และควรระมัดระวังการรับประทานยาที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนซึ่งมีผลทำให้ค่าสายตาไม่คงที่ เช่น ยารักษาสิว เป็นต้น</span><br /><span style="color:#333399;"></span><br /><span style="color:#333399;"><strong>1. ขั้นตอนตรวจตาละเอียด</strong> ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยการตรวจความโค้ง ความหนา และ ดูความพร้อมของกระจกตา พร้อมทั้งมีการขยายม่านตาด้วย เพื่อประเมินสภาพตาว่าท่านเป็นบุคคลที่มีสภาพตาที่สมบูรณ์ และสามารถทำเลสิกได้ด้วยความปลอดภัย ผู้รับการตรวจควรนำแว่นกันแดดมาด้วย และ ไม่ควรขับรถมาด้วยตนเอง<br /><br /><strong>2. ขั้นตอนการผ่าตัด</strong> ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับคู่มือการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัด เมื่อผ่านขั้นตอนของการตรวจตาอย่างละเอียดทั้งหมดและได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้เหมาะสมสำหรับการแก้ปัญหาสายตาด้วยวิธีนี้ โดยผู้รับการผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้เลย และมาเปิดที่ครอบตาในวันรุ่งขึ้น ใช้เวลาเตรียมตัวก่อนผ่าตัด 1 ชั่วโมง และ การผ่าตัดไม่เกิน 1 ชั่วโมง<br /><br /><strong>3. ขั้นตอนการติดตามอาการหลังผ่าตัด</strong> ทั้งหมด 6 ครั้ง คือ 1 วัน, 1สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี ภายหลังการตรวจตาในวันครบรอบ 1 สัปดาห์ ผู้รับการรักษาสามารถติดตามอาการหลังผ่าตัดได้กับจักษุแพทย์ท่านอื่น ตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ที่ทำการรักษาด้วยเลสิก</span><br /><span style="color:#333399;"></span><br /><span style="color:#333399;"><strong>การพักฟื้น<br /></strong>หลังทำเลสิก ผู้รับการรักษาสามารถกลับบ้านได้ทันที และกลับมาพบแพทย์ในวันรุ่งขึ้นเพื่อเปิดที่ครอบตา จากนั้นก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ แต่ต้องงดการทำงานหนัก ออกกำลังกาย เพื่อป้องกันเหงื่อเข้าตา ห้ามว่ายน้ำเป็นเวลา 1 เดือน และควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้งเพื่อกันแดด ลม รวมทั้งฝุ่นละอองต่าง ๆ</span><br /><span style="color:#333399;"></span><br /><span style="color:#333399;"><strong>เว็บไซต์:</strong> </span><a href="http://www.phukethospital.com/"><span style="color:#333399;">www.PhuketHospital.com</span></a><br /><span style="color:#333399;"><strong>อีเมล:</strong> </span><a href="mailto:info@PhuketHospital.com"><span style="color:#333399;">info@PhuketHospital.com</span></a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-19103796136851691652009-05-19T14:08:00.005+07:002009-05-20T10:10:28.844+07:00"รู้ - ตื่น - เบิกบาน ระหว่างวัน" และ "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว"<div><br /><br /><div><span style="font-family:verdana;">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตขอเชิญท่านร่วมกิจกรรมครบรอบปีโรงพยาบาล</span><br /><span style="font-family:verdana;">ฟังธรรมะ <strong>"รู้ - ตื่น - เบิกบาน ระหว่างวัน"</strong> โดย <strong>อ.สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา</strong> </span><br /><span style="font-family:verdana;">และ <strong>"เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว" </strong>โดย<strong> ดังตฤณ</strong></span><br /><strong><span style="font-family:Verdana;"></span></strong><br /><strong><span style="font-family:Verdana;">สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span></strong><br /><strong><span style="font-family:Verdana;">เว็บไซต์: <a href="http://www.phukethospital.com/">http://www.phukethospital.com/</a></span></strong><br /><br /><span style="font-family:verdana;font-size:85%;">กรุณาคลิกที่ภาพเพื่ออ่านรายละเอียด</span> <img class="gl_photo" alt="เพิ่มรูปภาพ" src="http://www.blogger.com/img/blank.gif" border="0" /><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 396px; CURSOR: hand; HEIGHT: 1024px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://i702.photobucket.com/albums/ww27/ruenruedi/anniversary14.jpg" border="0" /></div></div>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-66404721226080401522009-05-18T15:31:00.001+07:002009-05-19T14:26:51.322+07:00จัดยิ่งใหญ่ กิจกรรมครบรอบปีโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต<span style="font-family:verdana;">สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com"><strong>info@PhuketHospital.com</strong></a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">เว็บไซต์: <a href="http://www.phukethospital.com/"><strong>www.PhuketHospital.com</strong></a></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;font-size:85%;">กรุณาคลิกที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด</span><br /><a href="http://i702.photobucket.com/albums/ww27/ruenruedi/14yearsanniversary.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 575px; CURSOR: hand; HEIGHT: 1023px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://i702.photobucket.com/albums/ww27/ruenruedi/14yearsanniversary.jpg" border="0" /></a><br /><div></div>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-71667425574235380182009-05-07T15:20:00.004+07:002009-06-22T16:34:35.581+07:00คำแนะนำประชาชนเรื่องไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009<strong><span style="color:#3333ff;"><span></span><strong><span style="color:#3333ff;"></span></strong>สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009</span> </strong><br />ตามที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยพบผู้ป่วยจากโรคนี้ในประเทศเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศแถบเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง เกาหลีใต้ <em>สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานผู้ป่วย<br /></em><span style="color:#3333ff;"><br /><strong>ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 คืออะไร</strong></span><br />โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในคนแพร่ติดต่อระหว่างคนสู่คน เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 (A/H1N1) ซึ่งเป็นเชื้อตัวใหม่ที่ไม่เคยพบในสุกรและคน <em>เชื้อนี้สามารถถูกทำลายด้วยความร้อนจากการปรุงอาหารที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้น ไป </em><br /><em></em><br /><span style="color:#3333ff;"><strong>อาการ </strong><br /></span>อาการใกล้เคียงกับอาการไข้หวัดใหญ่ที่พบปกติ เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ไอ เจ็บคอ อาจมีอาเจียน ท้องเสีย ถ้าอาการไม่รุนแรงส่วนใหญ่หายป่วยโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หากรุนแรงจะมีอาการหอบ เหนื่อย ไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก และเสียชีวิตได้เนื่องจากมีอาการของปอดอักเสบรุนแรง<br /><br /><strong><span style="color:#3333ff;">โรคนี้ติดต่อได้อย่างไร</span></strong><br />คนส่วนใหญ่ติดโรคนี้จากการถูกผู้ป่วยไอ จาม รดโดยตรง เนื่องจากมีเชื้อไวรัสอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แต่บางรายอาจติดเชื้อทางอ้อม ผ่านมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก และตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา <em>ไม่ติดต่อจากการกินเนื้อหมู</em><br /><em></em><br /><strong><span style="color:#3333ff;">วัคซีน และการรักษา</span></strong><br />ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้ สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ในปัจจุบัน ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดนี้ได้ หากมีผู้ป่วยในประเทศไทย และจำเป็นต้องใช้ยารักษา <em>ได้มีการสำรองยานี้ไว้แล้ว</em><br /><em></em><br /><strong><span style="color:#3333ff;">การเตรียมตัวรับสถานการณ์</span></strong><br /><em><strong><span style="color:#666666;">คนที่ไม่มีอาการ</span></strong><br />- เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงโดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ<br />- หลีกเลี่ยงการใช้มือหรือสิ่งต่างๆ สัมผัสตา ปาก จมูก<br />- ถ้ามีอาการไอ หรือจาม ให้ไอหรือจามใส่แขนเสื้อ หรือสวมหน้ากากอนามัย<br />- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาด พื้นที่เสี่ยง หรือแออัด เช่น ศูนย์การค้าโรงภาพยนตร์ เป็นต้น<br />- หมั่นล้างมือบ่อยๆ การล้างมือที่ถูกสุขลักษณะ ให้ล้างด้วยสบู่ หรือน้ำยาล้างมือและล้างนานอย่างน้อย ๒๐ วินาที</em><br /><em>- ติดตามสถานการณ์ และคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่<br />- สำรองสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น เช่น น้ำ ข้าวสาร อาหารแห้ง ยา ฯลฯ ให้เพียงพออย่างน้อย ๒ สัปดาห์ เพราะหากมีอาการจะต้องหยุดงาน และพักรักษาตัวที่บ้าน<br />- สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ควรขอยาจากหมอมาเผื่อไว้อย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลบ่อยๆ </em><br /><em></em><br /><em><strong><span style="color:#666666;">คนที่มีอาการไข้หวัดใหญ่</span></strong></em><br /><em>- ถ้ามีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ไอ เจ็บคอ ส่วนใหญ่จะหายเอง ให้ลาหยุดพักรักษาตัวที่บ้าน ถ้าเป็นเด็กนักเรียนให้หยุดเรียน หากมีข้อสงสัยให้โทรศัพท์ปรึกษาเจ้าหน้าที่</em><br /><em>- สวมหน้ากากอนามัยไว้ตลอดเวลา เพราะหากมีอาการไอ จาม จะได้ไม่แพร่เชื้อ<br />- ถ้ามีอาการป่วยรุนแรง เช่น เป็นมาแล้ว 3 วัน อาการไม่ดีขึ้น และมีอาการไอมาก เหนื่อย หอบ เจ็บหน้าอก “ให้ใส่หน้ากากอนามัย” และไปพบแพทย์ </em><br /><em>- สามารถกินฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 ครั้งได้ จะทำให้อาการเจ็บคอ และไข้ ลดลง<br />- หมั่นล้างมือบ่อยๆ<br />- หลีกเลี่ยงการใช้มือที่เปื้อนเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู โทรศัพท์ เป็นต้น</em><br /><em></em><br /><strong><span style="color:#3333ff;">หากมีคำถามเพิ่มเติมให้ปรึกษาที่สถานีอนามัย โรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด</span></strong><br /><strong></strong><br /><strong>ติดตามข่าวสารล่าสุดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ที่</strong> <a href="http://www.phukethospital.com/">http://www.phukethospital.com/</a><br /><a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-11933202418154047592009-04-30T09:11:00.014+07:002009-06-22T16:27:22.983+07:00โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009<span style="font-family:verdana;"><strong>โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009</strong> ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้เป็นโรคติดต่อระหว่งคนสู่คน ไม่พบว่ามีการติดต่อมาจากหมู ดังนั้นจึงสามารถรับประทานเนื้อหมู หรือผลิตภัณฑ์จากหมูได้อย่างปลอดภัย<br /><br /><strong>สาเหตุของโรค</strong><br />เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) ซึ่งเป็นเชื้อตัวใหม่ที่ไม่เคยพบทั้งในหมูและในคน โดยเกิดจากการผสมสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของหมูเป็นส่วนใหญ่ และมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของคน และเชื้อไข้หวัดที่พบในนกด้วย<br /><br /><strong>คนติดโรคนี้ได้อย่างไร</strong><br />คนส่วนใหญ่ติดโรคไข้หวัดใหญ่จากการถูกผู้ป่วยไอ จามรดโดยตรง เนื่องจะจากมีเชื้อไวรัสอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แต่บางรายอาจได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ลูกบิดประตู โทรศัพท์ แก้วน้ำ เป็นต้น<br /><br /><strong>อาการของโรค<br /></strong>อาการใกล้เคียงกับอาการโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบตามปกติ เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้าเนื้อ ไอ เจ็บคอ อาจมีอาเจียน และท้องเสียด้วย จุดต่างจากไข้หวัดทั่วไปคือ ไข้มักจะสูง และอาจเกิดอาการหายใจลำบาก<br /><br /><strong>คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ</strong><br />1. หากไม่จำเป็น ควรเลื่อนหรือชะลอการเดินทางไปยังประเทศที่เกิดการระบาดจนกว่าสถานการณ์จะยุติลง<br />2. หากจำเป็นต้องเดินทางไปพื้นที่เกิดการระบาด ให้หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอ จาม หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อแนะนำของทางการในพื้นที่นั้น ๆ อย่างเคร่งครัด<br />3. ผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่เกิดการระบาด ถ้ามีอาการของไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ภายใน 7 วัน หลังจากเดินทางกลับ ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตนอย่างเข้มงวด<br />4. สร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรงโดย<br />4.1 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง<br />4.2 หมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการไอ จาม<br /></span><span style="font-family:verdana;">4.3 นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ<br />4.4 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้คุณด้วยความห่วงใย โดย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต<br /></strong><a href="http://www.phukethospital.com/">http://www.phukethospital.com/</a><br />สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span><br /><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dxLlsCLoWdv9RPtisJRr1Zl80Drhm6DDMOpWDhlLrH1T1JmV_kSBQjQtm9lqJYv2gy8CyD9lP7v1GmKMKa3IQ' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-68901244683405887712009-04-02T13:26:00.002+07:002009-04-02T13:32:44.322+07:00ท้องเสีย<span style="font-family:verdana;"><strong>ท้องเสีย</strong>เป็นโรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อยที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ โรคท้องเสียนั้นอาจมีอาการอื่นร่วมด้วยได้ เช่น ถ้าพบมีอาเจียนก่อนจะมีท้องเสียอาจจะเป็นอาการของโรคอาหารเป็นพิษ ในบางรายอาจมีปวดท้องร่วมด้วย บางรายอาจมีไข้ ซึ่งก็มักจะมีการติดเชื้อในโรคระบบทางเดินอาหาร<br /></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>โรคท้องเสีย</strong>นั้นโดยทั่วไปมักพบบ่อยในช่วงฤดูร้อน เพราะมีแมลงวันซึ่งเป็นพาหะที่สำคัญเป็นจำนวนมาก เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของท้องเสียส่วนใหญ่จะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ปรุงไว้นาน และมีแมลงวันตอม </span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><strong><span style="font-family:verdana;">การรักษา</span></strong><br /><span style="font-family:verdana;">การรักษาจะมีวิธีการรักษาและปฏิบัติตนที่แตกต่างกันตามอาการและสาเหตุของโรค</span><br /><span style="font-family:verdana;">- ถ้าอาการท้องเสียไม่รุนแรง รักษาและดูแลตนเองโดยการรับประทานอาหารอ่อน หรืออาจดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป ซึ่งเกลือแร่นี้อาจเป็นเกลือแร่ผง ซึ่งต้องมาละลายกับน้ำต้มสุก หรือเป็นน้ำเกลือแร่ที่ผสมแล้วก็ได้</span><br /><span style="font-family:verdana;">- ไม่ควรดื่มนม ควรงดผักผลไม้ชั่วคราวจนกว่าอาการท้องเสียจะดีขึ้น </span><br /><span style="font-family:verdana;">- ไม่ควรกินยาแก้ท้องเสียจำพวกยาที่ทำให้หยุดถ่ายโดยไม่จำเป็น เพราะอาจมีผลเสียทำให้มีท้องอืดหรืออาการแทรก ซ้อนอื่นๆ ได้</span><br /><span style="font-family:verdana;">- หากมีอาการไข้และปวดท้องร่วมกับอาการท้องเสียแสดงว่าอาจจะมีการติดเชื้อในลำไส้ร่วมด้วยควรรีบไปพบแพทย์ </span><br /><span style="font-family:verdana;">- ถ้าหากผู้ป่วยถ่ายจำนวนมากและบ่อย ควรรีบไปพบแพทย์เพราะอาจจะมีอาการช็อคหมดสติได้</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>ป้องกันตนเองจาก “ท้องเสีย”</strong></span><br /><span style="font-family:verdana;">- ล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหารและรับประทานอาหารทุกครั้ง<br />- รักษาสุขอนามัยด้วยการล้างมือทุกครั้งหลังจากออกจากห้องน้ำ หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้ง<br />- รับประทานอาหารและน้ำดื่มที่สุกและสะอาด<br />- เมื่อเกิดท้องเสียให้ดื่มนํ้าอุ่น รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และพักผ่อนมากๆ<br />- รับประทานผงนํ้าตาลเกลือแร่ ห้ามเด็กดื่มน้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ในปริมาณมากเกินความจำเป็น เนื่องจากอาจเป็นสาเหตุให้ถ่ายอุจจาระมาก<br />- ห้ามดื่มนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรค หรือรับประทานอาหารไม่สะอาด ไม่ถูกสุขลักษณะที่อาจมีเชื้อโรคเจือปน<br />- ดูแลสิ่งแวดล้อมบริเวณบ้านไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;">แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใย <strong>“ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ” โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</strong></span><br /><strong><span style="font-family:Verdana;">สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span></strong><br /><strong><span style="font-family:Verdana;"></span></strong><br /><strong><span style="font-family:Verdana;">เว็บไซต์ : <a href="http://www.phukethospital.com/">www.PhuketHospital.com</a></span></strong><br /><br /><strong><span style="font-family:Verdana;"></span></strong>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-27427229654862382892009-03-24T18:18:00.003+07:002009-03-24T18:31:51.310+07:00ระวัง ไข้เลือดออก<span style="font-family:arial;">จากสถิติการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกในจังหวัดภูเก็ต โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตพบว่าภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกมากเป็นอันดับหนึ่งของสามจังหวัดฝั่งอันดามัน และสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตจึงขอนำรายละเอียดเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกมาแบ่งปันด้วยความห่วงใย การป้องกันคือสิ่งที่ง่ายที่สุด ขอฝากให้ช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ดูแลป้องกันตนเองและญาติจากการถูกยุงกัด<br /></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>โ</strong></span><span style="font-family:arial;"><strong>รคไข้เลือดออก</strong> มียุงลายเป็นตัวนำโรค การติดเชื้อพบได้ตลอดปี แต่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน </span><br /><span style="font-family:arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>อาการของโรคไข้เลือดออก</strong><br /></span><span style="font-family:arial;"></span><span style="font-family:arial;"><strong>ระยะไข้</strong> จะมีไข้สูงติดต่อกันนาน 2-7 วัน ไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ ระยะนี้การตรวจร่างกาย หรือตรวจเลือดโดยทั่วไปยังไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าเป็นโรคไข้เลือดออกหรือไม่ แต่ปัจจุบันมีวิธีการตรวจหาเชื้อของโรคไข้เลือดออกได้อย่างรวดเร็ว ด้วยวิธี PCR detection for Dengue Virus RNA ที่สามารถตรวจพบเชื้อไข้เลือดออกได้ในผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือมีอาการที่ยังไม่ชัดเจนได้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้รับเชื้อ ส่งผลให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เพราะวิธีการนี้สามารถระบุชื่อของเชื้อไข้เลือดออกที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ได้ชัดเจน ผู้ป่วยก็จะได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตเป็นโรงพยาบาลเดียวในภูเก็ตที่สามารถให้บริการตรวจหาโรคไข้เลือดออกโดยวิธี PCR detection for Dengue Virus RNA<br /><strong>ระยะวิกฤติ</strong> เป็นระยะที่มีความสำคัญที่สุด ผู้ป่วยระยะนี้จะมีการลดลงของเกร็ดเลือดอาการไข้ลดลง แต่อาการทั่วไปแย่ลง เช่นมี อาเจียน ปวดท้อง ตับโต กดเจ็บ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ซึม อ่อนเพลีย มีเลือดออกตามผิวหนัง เยื่อบุ หรืออวัยวะภายใน มีผื่นแดงจางตามผิวหนัง ระยะนี้จำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด<br /><strong>ระยะพักฟื้น</strong> ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น เริ่มกินอาหารได้ ปัสสาวะมากขึ้น มีผื่นแดงคันตามผิวหนังมากขึ้น ระยะนี้เกร็ดเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนเข้าสู่ระดับปกติใน 7 วัน จึงยังต้องระวังภาวะเลือดออกต่อไปอีก 1 สัปดาห์</span><br /><span style="font-family:arial;"><br /><strong>ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีไข้ในระยะโรคไข้เลือดออกระบาด</strong><br />1) ควรใช้ยาลดไข้ด้วยความระมัดระวัง ยาลดไข้บางชนิดอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ในระยะวิกฤติ<br />2) ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้ หรือสารละลายเกลือแร่ ในระยะที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน<br />3) ติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากสงสัยว่าเด็กอาจป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ควรพาไปพบแพทย์</span><br /><span style="font-family:arial;">4) งดรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มี่สีแดง น้ำตาล ดำ เพื่อสังเกตอาการเลือดออกจากทางเดินอาหาร<br /><br /></span><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span><span style="font-family:arial;"><strong>การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก</strong><br />1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ได้แก่ ภาชนะที่มีน้ำขังต่างๆ ทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน เช่น โอ่งน้ำ ถังน้ำในห้องน้ำ ห้องส้วม แจกัน จานรองขาตู้กับข้าว ยางรถยนต์ อ่างบัว ฯลฯ<br />2. นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด ป้องกันยุงกัดโดยเฉพาะเวลากลางวัน<br />3. ทายากันยุงป้องกันยุง โดยเลือกให้เหมาะสมกับเด็ก<br />4. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ปราศจากกลิ่นเหงื่อไคล เพราะกลิ่นเหงื่อจะดึงดูดยุงเข้ามากัดมากขึ้น<br />5. กำจัดยุงลายโดยใช้สารเคมี กับดักไฟฟ้า และอุปกรณ์กำจัดยุงต่าง ๆ<br /></span><br /><span style="font-family:arial;">ประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรทราบและให้ความสำคัญในระดับสูงคือการดูแลและเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออก ส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้สึกว่าผู้ป่วยดีขึ้นเมื่อไข้ลด แต่กรณีของไข้เลือดออกนั้นไม่ใช่ การที่จู่ๆ ไข้ลดลงนั้นอาจจะหมายถึงผู้ป่วยมีอาการช็อกในระยะวิกฤติ ดังนั้น หากมีอาการไข้ให้รีบพบแพทย์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ในกรณีที่ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นไข้เลือดออก ผู้ป่วยอาจจะได้รับคำแนะนำให้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ เพื่อการเฝ้าระวังอาการช้อกที่อาจจะเกิดขึ้น</span><br /><br /><br /><a href="http://i702.photobucket.com/albums/ww27/ruenruedi/DSCF3355.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 500px; CURSOR: hand; HEIGHT: 375px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://i702.photobucket.com/albums/ww27/ruenruedi/DSCF3355.jpg" border="0" /></a><span style="font-family:verdana;">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตจัดอบรมให้กับ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรคไข้เลือดออก รวมไปจนถึงการเพิ่มทักษะในการสังเกตอาการในระยะต่าง ๆ ของโรคไข้เลือดออก เพื่อเตรียมรับมือกับโรคไข้เลือดออกที่กำลังมาพร้อมหน้าฝนนี้ อนึ่งการสังเกตเพื่อการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องในระยะแรกมีความสำคัญเนื่องจากการรักษาอย่างถูกต้องรวดเร็วจะช่วยลดความรุนแรงป้องกันภาวะช็อกและการเสียชีวิตได้ฉะนั้นการเฝ้าติดตามอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยไข้เลือดโดยผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการรักษาชีวิตผู้ป่วย</span><br /><div><span style="font-family:Verdana;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Verdana;"></span></div>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-44386746165096032302009-03-06T14:12:00.008+07:002009-03-06T15:01:31.877+07:00ขอเชิญผู้ปกครองร่วมกิจกรรม "โรงเรียนพ่อแม่"<span style="font-family:verdana;color:#000099;">ด้วยโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตกำหนดจัดกิจกรรม "โรงเรียนพ่อแม่" ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ "สื่อสารด้วยหัวใจ" ในวันที่ 21 - 23 มีนาคม 2552 ท่านสามารถคลิกที่ภาพด้านล่างเพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมค่ะ</span><br /><br /><span style="font-family:Verdana;color:#000099;">สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครได้ที่ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;color:#000099;">เว็บไซต์: <a href="http://www.phukethospital.com/">http://www.phukethospital.com/</a></span><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgROzF-Z1-VGhai6rSpsthiVGVTNTOagbIbx2DpyvjcOWb9lb7d4yYQSEat-mpQCCK8eoaGQXhx7X5PdZaYjKVezWjxIXQdRn-7iDEmysmigok4v9e46ID2FFUoDfuI1ssCt3tdEUwQL-w/s1600-h/โรงเรียนพ่อà¹à¸¡à¹ˆ+ครั้งที่+2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5309976277607893122" style="WIDTH: 296px; CURSOR: hand; HEIGHT: 400px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgROzF-Z1-VGhai6rSpsthiVGVTNTOagbIbx2DpyvjcOWb9lb7d4yYQSEat-mpQCCK8eoaGQXhx7X5PdZaYjKVezWjxIXQdRn-7iDEmysmigok4v9e46ID2FFUoDfuI1ssCt3tdEUwQL-w/s400/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88+%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+2.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><span style="font-family:Verdana;"></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-65719701687077531582009-03-06T11:14:00.003+07:002009-03-06T11:19:38.740+07:00น้ำสมุนไพรดื่มอร่อย...ได้ประโยชน์<span style="font-family:verdana;">การดื่มน้ำสมุนไพรนั้นนอกจากจะได้รับรสชาติที่อร่อยแล้ว ยังแฝงไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งวิตามิน เกลือแร่ เส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>น้ำเก๊กฮวย</strong><br />ช่วยดับพิษร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ปวดท้อง เป็นยาระบาย ขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงหัวใจจึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจได้</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>น้ำตะไคร้</strong><br />ตะไคร้มีวิตามินเอและเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ยังสามารถช่วยขับเหงื่อและช่วยขับปัสสาวะ</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>ชามะนาว</strong><br />แก้กระหาย คลายร้อน ช่วยให้สดชื่น แก้อาการเมาค้าง</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>น้ำกระเจี๊ยบ</strong><br />อุดมสมบูรณ์ด้วยวิตามินซี กรดซิตริก และเกลือแร่ชนิดต่างๆ เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตา มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต เป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยแก้อาการกระหายน้ำ</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>น้ำใบเตย<br /></strong></span><span style="font-family:verdana;">ใบเตยมีสีเขียว นิยมใช้แต่งสีอาหาร เป็นสารคลอโรฟิลล์ ช่วยลดอาการกระหายน้ำ และช่วยทำให้สดชื่น</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>น้ำส้ม</strong><br />ส้มอุดมไปด้วยวิตามิน เอ ซี บี 1 และ บี 2 ช่วยแก้กระหาย ป้องกันไข้หวัด ช่วยลดปริมาณ</span><br /><span style="font-family:verdana;">คลอเลสเตอรอลในเลือด</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>แบ่งปันสิ่งดี ๆ จาก โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</strong> </span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่</strong> <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>Website:</strong> <a href="http://www.phukethospital.com/">www.PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-88785985295783174242009-02-18T14:15:00.002+07:002009-02-18T14:20:13.456+07:00โรคไข้หวัดใหญ่<span style="font-family:verdana;"><strong>โรคไข้หวัดใหญ่</strong> เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบในฤดูฝนมากกว่าฤดูอื่น และเป็นโรคที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>การติดต่อ</strong> <br />เชื้อไข้หวัดใหญ่จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือจากการสัมผัสของใช้ที่เปื้อนเชื้อโรคแล้วมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ทำให้เชื้อเข้าสู่เยื่อบุจมูกและปาก</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>อาการ</strong></span><br /><span style="font-family:verdana;">ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง (38-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอแห้งๆ คล้ายหวัดธรรมดา แต่อาการมักรุนแรงและป่วยนานกว่าไข้หวัดธรรมดา และอาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น ไข้จะอยู่นานประมาณ 3-5 วัน และหายเป็นปกติใน 7-10 วัน</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร</strong></span><br /><span style="font-family:Verdana;">ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหล มีไข้ไม่สูง สำหรับไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อจากไวรัสที่เรียกว่า “Influenza Virus” เป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจจะลามลงปอด ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเร็ว ไข้สูงกว่าไข้หวัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียอย่างฉับพลัน<br />ไข้หวัดใหญ่พบมากในทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการตายมักจะพบในผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนเป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลมากที่สุด สามารถช่วยลดอัตราการติดเชื้อ อัตราการนอนโรงพยาบาล โรคแทรกซ้อน </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>การป้องกัน<br /></strong>1. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่เพียงพอ เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค<br />2. หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้มีอาการหวัด<br />3. หมั่นล้างมือบ่อยๆ<br />4. สวมผ้าปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม หากมีอาการป่วยควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น<br />5. รักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงอากาศหนาวเย็น</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>วัคซีนป้องกัน</strong><br />การป้องกันที่ดี คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยฉีดปีละ 1 ครั้ง หลังจากฉีดไป 2 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันจะสูงพอที่จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ มักฉีดในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง อย่างไรก็ตาม โรคไข้หวัดใหญ่ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรง หากดูแลรักษาตามอาการก็จะหายได้เองภายใน 3-5 วัน ถ้ามีไข้สูงเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;">สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ที่ <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตห่วงใยและแบ่งปัน</span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-49836221640107481402009-01-08T11:52:00.000+07:002009-01-08T11:55:57.966+07:00เคล็ดลับให้นมลูกอยู่ตรงไหน<span style="font-family:verdana;"><strong>“4 ด” สำหรับให้นมลูกง่ายๆ</strong></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong></strong><br />1. ดูดเร็ว ให้ลูกดูดหลังคลอดทันทีจะกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้มาเร็วขึ้น<br />2. ดูดบ่อย ให้ดูดได้บ่อยตามที่ลูกต้องการ ทารกมักหิวทุก 2-3 ชั่วโมง<br />3. ดูดถูกวิธี โดยให้ปลายจมูกลูกชิดเต้า ปากอมจมมิดลานหัวนม คางชิดเต้านม<br />4. ดูดเกลี้ยงเต้า ในแต่ละครั้งต้องให้นมให้นานพอ เพราะน้ำนมในส่วนหลังจะมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสมองและร่างกาย ช่วยให้ลูกอิ่มนานไม่หิวบ่อย<br /><br />แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใยโดย <strong>“ศูนย์สุขภาพสตรีและแผนกเด็ก”</strong> <strong>โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต<br /></strong><br />ติดต่อ : </span><a href="mailto:info@PhuketHospital.com"><span style="font-family:verdana;">info@PhuketHospital.com</span></a><br /></span><span style="font-family:verdana;">เวบไซต์ : </span><a href="http://www.phukethospital.com/"><span style="font-family:verdana;">www.PhuketHospital.com</span></a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-25137711799527792232008-12-19T12:06:00.002+07:002008-12-19T12:12:00.841+07:00โรคต้อกระจก<span style="font-family:verdana;"><strong>โรคต้อกระจก</strong> เกิดจากการขุ่นของเลนส์ตา ทำให้ผู้ป่วยมีสายตาพร่ามัวเหมือนมองผ่านกระจก โดยไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใด ๆ </span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>รู้จริงเรื่องต้อกระจก<br /></strong>- ต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อ และจะไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปยังตาอีกข้างหนึ่ง<br />- การใช้สายตามากๆ ไม่ใช่สาเหตุของต้อกระจก หรือทำให้อาการของโรคนี้รุนแรงขึ้น<br />- ต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจใช้เวลานานเป็นหลายเดือน หรือหลายปีกว่าสายตาของผู้ป่วยจะขุ่นมัว มองไม่ชัด<br />- ต้อกระจกถือเป็นโรคที่รักษาแล้วได้ผลดี</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>สาเหตุของต้อกระจก</strong><br />- วัย ส่วนใหญ่มาจากการเสื่อมตามวัย พบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป<br />- กรรมพันธุ์และความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น มารดาเป็นหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์ หรือมารดารับประทานยาบางชนิดในขณะตั้งครรภ์<br />- อุบัติเหตุ ได้รับอุบัติเหตุในตา เช่น ถูกไม้ฟาด ถูกของมีคมทิ่ม หรือเศษโลหะกระเด็นเข้าตา เป็นต้น<br />- โรคตา หรือโรคทางร่างกายบางโรค ที่อาจทำให้เป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น เช่น โรคเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>อาการของต้อกระจก<br /></strong>สายตามัวเหมือนมีหมอกมาบัง</span><span style="font-family:verdana;">จะเกิดขึ้นช้าๆ และไม่มีอาการปวดตาในระยะแรก อาการมัวจะเป็นมากขึ้น ถ้าทิ้งไว้จนต้อกระจกสุก จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนทำให้ปวดตาอย่างรุนแรง และลุกลามเป็นโรคต้อหินเฉียบพลัน หรือม่านตาอักเสบได้ </span><br /><span style="font-family:verdana;"><br /></span><span style="font-family:verdana;"><strong>การรักษาต้อกระจก<br /></strong>การผ่าตัดหรือการสลายต้อกระจกเป็นวิธีรักษาที่ช่วยทำให้สายตาของผู้ป่วยใสขึ้นและมองเห็นได้ดังเดิม</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><strong>การผ่าตัดต้อกระจกที่นิยมใช้โดยทั่วไป มี 2 วิธีคือ</strong><br /><strong>1. การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้างและเย็บแผล<br /></strong>ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งตัวมากจนอาจไม่เหมาะกับการสลายด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ จักษุแพทย์อาจใช้วิธีผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิม โดยเปิดแผลยาวประมาณ 10 มม. เพื่อเอาตัวเลนส์ตาที่เป็นต้อกระจกออก เหลือเปลือกหุ้มเลนส์ด้านหลังไว้เป็นถุง เพื่อใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ หลังจากนั้นจึงเย็บปิดแผล<br /><strong>2. การผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (PHACO)<br /></strong>การสลายต้อกระจกด้วยอัลตร้าซาวด์นี้ เป็นเทคนิคการผ่าตัดแบบใหม่ มีข้อดีกว่าแบบแรกคือ</span><br /><span style="font-family:Verdana;">- สามารถทำการผ่าตัดได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก (โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ต้อกระจกสุก)<br />- แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก (3.2-4.2 มม.) สามารถสมานได้โดยไม่ต้องเย็บแผล หรือเย็บก็เพียงเล็กน้อยในบางราย<br />- ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล<br />- การมองเห็นกลับมาชัดเจนและคงที่ได้เร็วกว่า<br />- ใช้เวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดน้อยกว่า และสามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้เร็วกว่าแบบแรก</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><strong>“ศูนย์ตา” โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</strong> ร่วมแบ่งปันข้อมูลสุขภาพดีๆ ให้ท่านด้วยความห่วงใย</span><br /><span style="font-family:Verdana;">เว็บไซต์ : <a href="http://www.phukethospital.com/">www.PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">อีเมล : <a href="mailto:info@Phukethospital.com">info@Phukethospital.com</a></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-65696997535449846132008-12-08T15:28:00.000+07:002008-12-08T15:30:07.334+07:006 เดือนแรกของลูกน้อย “น้ำนมแม่อย่างเดียว”<span style="font-family:verdana;"><strong>เริ่มต้นสิ่งดีๆ ให้ลูกน้อยด้วยนมแม่ ในช่วง 6 เดือนแรก เพราะ<br /></strong>1. สมองลูกเติบโตเร็วมาก นมแม่เหมาะกับสมองที่โตเร็ว<br />2. ทางเดินอาหารของลูกยังย่อยอาหารอื่นไม่ดี นมแม่ย่อยง่ายที่สุด<br />3. ลูกยังสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดี นมแม่มีภูมิคุ้มกันสูง<br />4. กระเพาะอาหารมีขนาดเล็ก ยืดหยุ่นได้ไม่มาก อาหารอื่นมีสารอาหารสู้นมแม่ไม่ได้<br /><br /><strong>นมแม่ไม่เพียงให้ลูกอิ่มท้อง แต่ยังพัฒนาจิตใจของแม่และลูกได้อีกด้วย<br /></strong><br />แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใยโดย <strong>“ศูนย์สุขภาพสตรีและแผนกเด็ก”</strong> โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span><br /><span style="font-family:Verdana;"><a href="http://www.phukethospital.com/">www.PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">eMail: <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a> </span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-18880856025086617972008-12-02T18:00:00.000+07:002008-12-02T18:02:37.347+07:00โรคหัวใจสามารถป้องกันได้<span style="font-family:verdana;">โรคหัวใจแม้จะเป็นโรคร้ายแรง แต่การลดโอกาสการเป็นโรคหัวใจนั้นสามารถทำได้ไม่ยาก ด้วยการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและมีการตรวจร่างกายเป็นประจำ<br /><br /><strong>วิธีช่วยป้องกันหัวใจ...ไม่ให้เป็นโรค</strong><br />1. ลดน้ำหนักตัวลง คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานจะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น คอเลสเตอรอลจะสูงตามไปด้วย และยังเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เพราะร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานได้<br />2. เลิกบุหรี่ คนสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนไม่สูบถึง 2 เท่า เพราะพิษต่างๆ ในบุหรี่ จะไปสะสมในหลอดเลือดทำให้ตีบลง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก อุดตันได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต<br />3. ทำตัวกระฉับกระเฉง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เพิ่มระดับไขมันดี และลดไขมันไม่ดีในร่างกายให้น้อยลง<br />4. ควบคุมการรับประทานอาหาร ใช้ไขมันพืชที่ไม่เป็นไข แทนไขมันจากสัตว์ในการปรุงอาหาร หลีกเลี่ยงของทอด ของหวาน อาหารรสเค็ม<br />5. รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยมากๆ ซึ่งช่วยการขับถ่าย และลดระดับไขมันไม่ดีในเลือดได้<br />6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แม้แอลกอฮอล์ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น แต่ถ้าดื่มมากไป หัวใจก็ทำงานหนักมากขึ้นเช่นกัน<br /><br /><strong>ดูแลหัวใจคุณ ด้วยหัวใจของเรา</strong><br />แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใยโดย “ศูนย์หัวใจ” โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</span><br /><span style="font-family:Verdana;"><a href="http://www.phukethospital.com/eng/center_heart.php">wwwPhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;">อีเมล <a href="mailto:info@PhuketHospital.com">info@PhuketHospital.com</a></span><br /><span style="font-family:Verdana;"></span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-58178469323333782872008-11-25T15:02:00.000+07:002008-11-25T15:04:57.497+07:00อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ<span style="font-family:verdana;"><strong>อาหารที่ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ควรหลีกเลี่ยงและควรรับประทาน แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ<br /></strong>1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ไขมันจากสัตว์ ไข่แดง กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม จะช่วยลดไขมันชนิดไม่ดีที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งและหลอดเลือดตีบตัน ยิ่งลดการกินมาก ก็จะยิ่งได้ประโยชน์มาก<br />2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม อาหารเค็มมีเกลือแกงมาก เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายดูดน้ำกลับเข้ากระแสเลือดมากขึ้น ปริมาณเลือดในร่างกายมากขึ้น หัวใจจะทำงานหนักขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้น อาจทำให้หัวใจล้มเหลว มีอาการเหนื่อยหอบ หรือบวม<br />3. เน้นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น ข้าวโพด ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ผักที่มีกากหรือเส้นใยมาก จะมีประโยชน์ช่วยลดการดูดซึมไขมัน ป้องกันท้องผูก ช่วยลด โอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคหัวใจ<br /><br /><strong>ดูแลหัวใจคุณ ด้วยหัวใจของเรา<br /></strong>แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณด้วยความห่วงใยโดย <strong>“ศูนย์หัวใจ” โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต</strong><br /></span><a href="http://www.phukethospital.com/"><span style="font-family:verdana;">www.PhuketHospital.com</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">อีเมล: </span><a href="mailto:info@PhuketHospital.com"><span style="font-family:verdana;">info@PhuketHospital.com</span></a>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6598272854812655648.post-18811109926107502262008-11-25T14:57:00.000+07:002008-11-25T14:58:37.946+07:00“นิ้วล็อก”<span style="font-family:verdana;"><strong>“นิ้วล็อก”</strong> หมายถึงอาการที่งอข้อนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ เหมือนถูกล็อก โรคนี้ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้<br /><br /><strong>การป้องกันอาการ “นิ้วล็อก”</strong><br />ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือทำงานที่มีลักษณะการทำให้เกิดแรงกด หรือเสียดสีกับเส้นเอ็นแบบซ้ำซาก เช่น<br />- การหิ้วของหนักๆ ควรใช้รถเข็นลาก หรือใส่ถุงมือ<br />- การซักผ้า หรือบิดผ้า ควรใช้เครื่องซักผ้าแทนการใช้มือ<br />- ควรใส่ถุงมือลดแรงกด หรือเสียดสีในการกำ หรือจับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ใส่ถุงมือจับกรรไกรตัดกิ่งไม้<br /><br />แบ่งปันสาระสุขภาพดีๆ โดย <strong>“ศูนย์กระดูกและข้อ”</strong> โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต<br /></span><a href="http://www.phukethospital.com/"><span style="font-family:verdana;">www.PhuketHospital.com</span></a><br /><span style="font-family:verdana;">อีเมล: info@PhuketHospital.com</span>Bangkok Hospital Phukethttp://www.blogger.com/profile/14883372881008057704noreply@blogger.com0